รีวิว Resident Evil 3 Remake

หลังจากที่ Resident Evil ภาค 2 ในแบบฉบับ remake ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2019 มันก็ได้สร้างปรากฏการณ์ของการนำเกมยอดฮิตในตำนานนำมารีเมคใหม่ ซึ่งมันก็ได้ยกระดับขึ้นมาในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านของงานภาพ กราฟฟิก และซาวด์เอฟเฟค รวมไปถึงระบบเกมเพลย์อีกด้วย จนแทบจะกลายเป็นเกมใหม่ที่มีความเป็น Resident Evil แถมยังได้มีการนำซีรี่ส์ Resident Evil มาพัฒนาที่เป็นจุดเริ่มต้นของเกมแนวเอาชีวิตรอด Horror ให้กลับมาได้อีกครั้ง ซึ่งทำให้แฟน ๆ ของเกมนี้คาดหวังกันไว้มาก และมันก็ทำออกมาได้อย่างดี จนมาถึง Resident Evil ภาค 3 แฟน ๆ ต่างก็คาดหวังกันอีกเช่นกัน เนื่องจากอะไรหลาย ๆ อย่างที่สามารถจะส่งต่อภาคนี้ได้เหมือนกันกับต้นฉบับบนเครื่องเล่น PlayStation 1 ทำให้ภาคนี้เป็นอีกหนึ่งภาคที่หลาย ๆ คนคิดถึงโดยเฉพาะตัวร้ายของซีรี่ส์อย่าง Nemesis ด้วยนั่นเอง

รีวิวเกม Resident Evil 3 Remake

โดยเรื่องราวในภาคนี้จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 เดือนกันยายน 1988 ที่มันจะคาบเกี่ยวกันกับ Resident Evil ภาค 2 ซึ่งเป็นช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ในภาค 2 ที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Jill Valentine เจ้าหน้าที่ของหน่วย S.T.A.R.S. ที่ได้เคยผ่านเหตุการณ์ในคฤหาสน์จาก Resident Evil ภาคแรกมาแล้ว โดยภาคนี้ จิว ก็ต้องพยายามหนีเอาตัวรอดออกมาจากเมืองแรคคูนซิตี้ ที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส จนได้มาพบกับสมาชิกจากทีมรักษาความปลอดภัยหนึ่งในนั้นก็คือคาลอส ตัวละครเอกอีกหนึ่งตัวที่ผู้เล่นจะได้เล่นด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ได้ร่วมมือกันในการหนีออกจากเมืองนี้พร้อมกับการคลี่คลายปมปริศนา และเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งเนื้อเรื่องก็มีความเกี่ยวข้องกับภาคก่อนอยู่แล้ว และสถานที่ต่าง ๆ ภายในเกมก็เช่นกันทั้งในตัวเมืองหรือสถานที่ สำคัญ ๆ จากภาค 2 อย่างเช่น สถานีตำรวจแรคคูน ถึงแม้ว่าตัวเอกอย่างจิวจะเคยผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ จากภาคแรกมาแล้ว และได้เจอกับเหล่าซอมบี้แล้ว

Resident Evil 3 Remake

แต่ในการเอาตัวรอดของเธอในภาคนี้มันก็ไม่ได้ง่ายเลย เพราะตัวเธอจะเป็นเป้าหมายของเนเมซิส ที่เป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งมันจะคอยไล่ล่าเธอไปตลอดทั้งเกม ในการนำเสนอเรื่องราวในเกมนี้ ก็ยังคงทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าผู้เล่นจะได้เคยเล่นเวอร์ชั่นต้นฉบับมาแล้ว แต่ทีมงานก็ยังสามารถใส่เรื่องราวลงไปให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น และมีความน่าติดตามมากขึ้น แม้จะมีการเพิ่มสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ตัวเกมจะใช้เวลาเล่นประมาณ 5 ถึง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งอาจจะรู้สึกว่ามันสั้นเกินไปสำหรับเกมในยุคนี้ และสิ่งที่นำมาจากต้นฉบับก็คือในภาคที่ 3 นี้ ตัวเกมจะเน้นไปที่แอ็คชั่นมากขึ้น และมีจังหวะการดำเนินเรื่องที่แตกต่างออกไปเพราะใน Resident Evil ภาค 2 จะเน้นความอึดอัดที่อยู่ภายในสถานีตำรวจ ทำให้ผู้เล่นย้อนไปย้อนมาเพื่อที่จะแก้ปริศนาต่าง ๆ แต่ในภาค 3 นี้ จะเน้นไปที่ตัวเมือง ตามถนน มีทั้งความวุ่นวายและความสิ้นหวัง ซึ่งจะเน้นการมุ่งไปข้างหน้าเพื่อไปเจอกับสถานที่ใหม่ ๆ มากกว่าการวนอยู่ในสถานที่เดิม แม้ในภาคนี้จะเน้นในเรื่องของแอ็คชั่นแต่ก็ยังมีความสยองอยู่ มีทั้งความกดดันที่จะต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ และจังหวะการเปิดประตูก็จะสร้างความตื่นเต้นมาก ๆ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะรอเราอยู่ที่อีกด้านของประตู

ในส่วนของระบบการเล่น ศัตรูที่ต้องเจอก็จะมีทั้งซอมบี้และสัตว์ประหลาดอย่างเนเมซิส และนอกจากนั้น ผู้เล่นก็ยังจะได้เจอกับสิ่งมีชีวิตที่มันได้รับผลกระทบจากไวรัสที่แพร่ระบาด ซึ่งศัตรูแต่ละชนิดก็มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน และมันก็จะส่งผลกับผู้เล่นที่จะต้องเลือกใช้อาวุธให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะได้เจอ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมก็จะช่วยให้การต่อสู้มีความง่ายขึ้น ส่วนตัวร้ายอย่างเนเมซิส ก็ยังมีบทบาทที่สำคัญ ช่วยสร้างความกดดันให้กับผู้เล่นและมีความตึงเครียดให้กับเกม เพราะมันเหมือนไม่มีวันตาย และได้สร้าง surprise มากมาย เพราะมันจะคอยตามไล่ล่าจิวอยู่ตลอดทั้งเกม และผู้เล่นก็ยังได้สู้ในช่วงของบอสไฟท์อยู่เป็นระยะ ๆ ด้วย ซึ่งแต่ละครั้งที่ได้พบเจอกันก็ต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันเพื่อจัดการกับมันให้ได้ ซึ่งจังหวะในการเล่นของภาครีเมคนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างดีมาก ๆ ถือเป็นการยกระดับที่ดี เพราะตัวเกมมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สลับกับช่วงที่จะได้พักผ่อนในจุดเซฟโซน จะได้พบกับเสียงดนตรีที่มีความผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยความที่จิวเป็นหน่วย S.T.A.R.S. ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านการรบ

ทำให้อาวุธในภาคนี้มีความหลากหลายมาก นอกจากจิวแล้วผู้เล่นก็จะได้เล่นเป็นคาลอสในบางช่วงตามเนื้อเรื่องในตัวเกม ซึ่งจะมาพร้อมกับอาวุธเฉพาะของตัวละครนั้นเอง นอกจากระบบและไอเทมต่าง ๆ แล้ว ที่ได้ถูกยกมาจากภาคก่อน มีทั้งหีบเก็บของและสมุนไพร ในภาคนี้ผู้เล่นสามารถ Craft กระสุนเองได้จากการใช้ดินปืนมาผสม และเกมเพิ่มความเป็นแอ็คชั่นมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นสามารถกดหลบหลีกได้ด้วย เพื่อที่จะทำเคาน์เตอร์สวนกลับศัตรูได้ ถ้าผู้เล่นสามารถเล่นจนชำนาญแล้วก็สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ง่ายขึ้น ในฉากต่าง ๆ ก็จะมีอะไรให้ค้นหาอยู่มากมาย ทั้งชิ้นส่วนสำหรับอัพเกรดอาวุธหรือตุ๊กตา และยังมีเอกสารต่าง ๆ อีกมากมายให้ตามเก็บ และการสำรวจนอกเส้นทางก็อาจจะทำให้ผู้เล่นได้พบกับไอเทมต่าง ๆ

แต่ก็อาจจะมีสิ่งอันตรายที่รอเราอยู่ สำหรับกระสุนภายในเกมนี้ก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น แต่ผู้เล่นก็ควรจะใช้มันอย่างระมัดระวังเพราะจำนวนของศัตรูที่มีมากและศัตรูก็ยังมีความอึดอีกด้วย จึงไม่ง่ายที่จะจัดการกับพวกมัน และเมื่อเราเล่นไปจนจบแล้ว ผู้เล่นก็ยังสามารถกลับมาเล่นได้ ทั้งการตามหาความลับที่ถูกซ่อนอยู่ การตามเก็บของ หรือเลือกเพิ่มความท้าทายแล้วกลับมาเล่นใหม่ให้มีความยากมากขึ้น และยังมีชาเลนจ์อื่น ๆ ที่ตัวเกมได้ใส่เข้ามาให้ แถมในภาคนี้ ยังมีโหมดออนไลน์ให้เล่น โดยจะให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นผู้รอดชีวิต 4 คน แข่งกับฝั่งตรงข้าม 1 คน ซึ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อฆ่าผู้รอดชีวิต  ในโหมดนี้ เกมจะลดกราฟฟิกลงจากตัวเกมหลัก และการควบคุมที่อาจจะรู้สึกแปลกไปซักนิดนึง และการยิงอาจจะไม่ค่อยมีความสมจริงมากนัก แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้สนุกดีเมื่อได้เล่นกับเพื่อน ๆ

Resident Evil 3 Remake

รายละเอียดเกม Resident Evil 3 Remake

ส่วนใน Resident Evil 3 Remake ในระบบกราฟฟิกและภาพต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้อย่างดีมาก ๆ และระบบฟิสิกส์ก็มีความสมจริง มีทั้งแสงและเงา รวมทั้งรายละเอียดพื้นผิวต่าง ๆ มีการสะท้อนของวัตถุ ทั้งกำแพงและเลือดที่ทำออกมาได้มีความสมจริงมาก ๆ ในส่วนของระบบซาวด์เอฟเฟคก็ได้ต่อยอดมาจากต้นฉบับได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ซึ่งมันได้ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นได้อย่างดีมาก ๆ มีทั้งดนตรีประกอบฉากที่คอยเร้าอารมณ์ให้กับผู้เล่น ส่วนเอฟเฟคการยิง การระเบิด หรือเสียงเหล่าซอมบี้ต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้อย่างดี

เกม Resident Evil 3 Remake นี้ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สามารถนำเกมกลับมาทำและผลลัพธ์ก็ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ด้วยความที่ภาคนี้ได้ใส่ความเป็นแอ็คชั่นมากขึ้นจากของเดิม แต่ก็ยังมีความสยองขวัญใส่เข้ามาอยู่ดี ส่วนการนำเสนอเรื่องราวก็มีความน่าติดตามมากกว่าต้นฉบับ ส่วนเกมเพลย์ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถือเป็นการต่อยอดสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างดี กราฟฟิกก็ทำออกมาได้อย่างสวยงาม มีความสมจริงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งสิ่งปลูกสร้างและตัวละคร รวมทั้งแสงและเงาด้วย แต่เนื้อเรื่องหลักอาจจะสั้นเกินไปสำหรับเกมในยุคนี้ แต่ด้วยความที่มีชาเลนจ์ต่าง ๆ ให้ผู้เล่นได้ย้อนกลับมาเล่นอีกหลาย ๆ รอบ และยังมีโหมดออนไลน์ให้ได้เล่นอีกด้วย ก็ถือว่าได้เพิ่มอะไรเข้ามาให้เล่นได้อีกเล็กน้อย ถ้าใครเป็นแฟนของซีรี่ส์นี้ คุณก็คงไม่พลาดอย่างแน่นอน